Valve Actuator หรือหัวขับวาล์วอาจประกอบด้วย
ส่วนเพิ่มเติมเพื่อช่วยให้ Actuator ทำงานได้มีสมรถถนะเพิ่มสูงขึ้น
1.Manual Override หรือ Handwheel การยกเลิกการทำงานของ Actuator ด้วยมือนั้นทำด้วยการติดตั้งมือหมุน (Handwheel) บริเวณด้านบน Actuator บริเวณติดตั้งสปริงและ Diaphragm โดยปกติจะติดตั้งในทิศทางตรงข้ามกับสปริงใน Actuator เมื่อต้องการยกเลิกการทำงานของ Actuator ให้ดึงหรือกดมือหมุนดังกล่าว กลไกการทำงานของมือหมุนต้องไม่ไปสร้างความเสียดทานให้กับ Actuator อีกทั้งต้องระบุตำแหน่ง “ว่าง (Neutral)” ของมือหมุนอย่างชัดเจนเพื่อแสดงว่าเป็นตำแหน่งของมือหมุนไม่ทำงาน การยกเลิกการทำงานของ Actuator ก็เพื่อใช้ระบุตำแหน่งของก้านวาล์วและเพื่อให้ก้านวาล์วเคลื่อนที่กลับไปยังตำแหน่งที่ออกแบบไว้เมื่อระบบการทำงาน Actuator ล้มเหลว และในบางครั้งอาจถูกออกแบบมาเพื่อหยุดการเคลื่อนที่ของก้านลิ้นวาล์ว
2.Positioners ตัว Positioner ถือเป็นตัวควบคุมวาล์ว (Valve Controller) ตัวหนึ่ง โดยทำหน้าที่เปรียบเทียบสัญญาณที่อยู่ในรูปสัญญาณความดันอากาศ (Pneumatic Signal) หรือสัญญาณไฟฟ้า (Electronic Signal) จากตัวควบคุมวาล์วหลักกับสัญญาณระบุตำแหน่งของก้านลิ้นวาล์วเพื่อตรวจสอบและส่งข้อมูลระยะการเคลื่อนที่ของก้านลิ้นวาล์วย้อนกลับไปประมวลผลการทำงานของวาล์วควบคุม ถ้าผลการเปรียบเทียบสัญญาณจากตัวควบคุมหลักกับสัญญาณของตำแหน่งของก้านลิ้นวาล์วต่างกัน Positioner จะส่งกำลังจากภายนอกเช่นความดันอากาศส่งไปกระตุ้นให้ Actuator เคลื่อนที่ไปในตำแหน่งที่ต้องการจนกระทั่งไม่มีผลต่างของสัญญาณจากตัวควบคุมหลักกับสัญญาณระบุตำแหน่งของก้านลิ้นวาล์วPositioner จึงช่วยให้การตรวจสอบและกำหนดระยะการเคลื่อนที่ระยะยกลิ้นวาล์วมีความแม่นยำถูกต้องเที่ยงตรงและเคลื่อนที่ได้รวดเร็ว Positioner สามารถใช้ระบบ Pneumatic หรือระบบ Electropneumatic หรือระบบ Electric ก็ได้ ส่วนความแม่นย่ำถูกต้องก็แตกต่างกันไปตามหลักการทำงานด้วยเหตุนี้การติดตั้ง Positioner เข้ากับ Actuator จึงช่วยเพิ่มความแม่นยำในการทำงานของวาล์วควบคุม อีกทั้งยังช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อความแม่นยำในการทำงานของวาล์วควบคุมอีกด้วย เช่น·ความเสียดทานที่เกิดกับปะเก็นก้านวาล์วอาจเปลี่ยนแปลงเนื่องจากฝุ่นหรือสิ่งสกปรกเข้าไปหรือตัวปะเก็นเมื่อใช้งานไปเกิดขาดความหล่อลื่น·แรงที่กระทำต่อก้านลิ้นวาล์วเปลี่ยนแปลงตามความดันในระบบท่อของเหลวของกระบวนหรือระบบนั้นๆ·อีกทั้งในแต่ละตำแหน่งของการปิด-เปิดเองก็มีแรงกระทำต่อก้านลิ้นวาล์วแตกต่างกันไปด้วยเช่นกันขึ้นอยู่กับชนิดของวาล์ว รวมทั้งแรงเสียดทานระหว่างลิ้นวาล์วกับ Seat Ring ที่ผันแปรไฟตามตำแหน่งปิด-เปิดของวาล์ว ส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลของแรงกระทำต่อก้านลิ้นวาล์ว อย่างเช่นในกรณีบอลวาล์ว เริ่มต้นที่ตำแหน่งปิด ต้องใช้แรงมากกว่าปกติในการเริ่มหมุนวาล์วเพื่อเปิดวาล์วเนื่องจากมีแรงเสียดทานระหว่างลิ้นวาล์วกับ Seat Ring สูงในตอนเริ่มแรกเพราะเป็นตำแหน่งที่มีผิวสัมผัสของลิ้นวาล์วกับ Seat Ring มากที่สุด
นอกจากนี้ยังรวมไปถึงคุณสมบัติประจำตัวของตัว Actuator เองที่ไม่ได้ทำงานในลักษณะความเป็นเชิงเส้น (Linear Characteristic)·โดยทั่วไปการทำงานร่วมกันของตัววาล์วกับ Actuator จะมีค่าDeadband อยู่ในช่วง 2-5% หรือมากกว่านั้น แต่เมื่อติดตั้ง Positioner เข้ากับ Actuator จะช่วยลด Deadband ลงได้จนเหลือเพียง 0.5% หรือน้อยกว่าสำหรับในแต่ละช่วงการชักข้อพิจารณาในการตัดสินใจเลือกใช้ Positioner ควรเลือกใช้เมื่อ· Actuator ต้องทำงานที่ความดันในระบบท่อมีค่าสูงเพื่อต้องการเพิ่ม Actuator Stiffness· ใช้กับวาล์วเมื่อความดันทำงานของ Actuator มีค่ามากกว่าความดันสัญญาณควบคุม ทั้งนี้เพราะการใช้ความดันทำงานของ Actuator ที่เพิ่มสูงขึ้นเพื่อให้มั่นใจมีแรงเพียงพอต่อการขับให้ลิ้นวาล์วเคลื่อนที่ได้อย่างประสิทธิภาพ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีค่าในช่วง 0.4 barg ถึง 2.0 barg ( 6 – 29 psig)· ต้องการระบบควบคุมที่มีความแม่นยำสูงและตอบสนองได้รวดเร็วต่อคำสั่งที่ส่งมาจากตัวควบคุม ดังนั้นถ้าหากต้องเดินระบบท่อความดันอากาศจากแหล่งกำเนิดภายนอกจนถึงวาล์วกับตัวควบคุมความดันอากาศ (Regulator) เป็นระยะทางไกลจะนำมาซึ่งปัญหาความรวดเร็วการส่งสัญญาณ การปรับระบบการส่งสัญญาณจากความดันอากาศมาเป็นระบบไฟฟ้าจึงเป็นเรื่องจำเป็นส่งผลให้ต้องติดตั้ง Positioner เพื่อสร้างระบบควบคุมแบบย้อนกลับได้·ระบบควบคุมการทำงาน (Control Loop) ของระบบควบคุมตอบสนองได้ช้าต่อการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งก้านลิ้นวาล์ว·ในระบบที่แบ่งช่วงการไหลของไหลผ่านวาล์วควบคุมโดยใช้ตัวควบคุมเพียงตัวเดียวที่เรียกว่า “Split-rang Systems”
3.Limit Switches อาจทำการติดตั้ง Limit Switches ภายในหรือภายนอกตัว Actuator ในตำแหน่งปลายสุดทั้ง 2 ด้านของก้าน Actuator หรืออาจติดตั้งในตำแหน่งกึ่งกลางระยะการเคลื่อนที่ของก้าน Actuator ก็ได้เพื่อติดตามตรวจสอบตำแหน่งก้านวาล์วว่าอยู่ ณ ตำแหน่งใด โดยใช้ Limit Switch 1 ตัวต่อ 1 ตำแหน่ง จากนั้นสัญญาณจะถูกส่งจากตัว Limit Switch ไปแจ้งเตือนสถานะการทำงานของวาล์วควบคุม
4. Position Transmitter ถือเป็นอุปกรณ์ที่ทำงานกลับกันกับ Positioner นั้นคือ Position Transmitter จะรายงานบ่งบอกตำแหน่งก้าน Actuator ตลอดเวลาโดยจะถ่ายทอดสัญญาณอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาด้วยขนาด 3 – 15 Psig หรือ 4- 20 mA เทียบเป็นสัดส่วนกับระยะช่วงชักทั้งหมดของ Actuator เช่น 4 mA เป็นตำแหน่งเริ่มต้นการเคลื่อนของก้าน Actuator และ 20 mA เป็นตำแหน่งปลายสุดของช่วงชักของก้าน Actuator การทำงานของ Position Transmitter จึงต่างกับ Limit Switch ซึ่งจะรายงานตำแหน่งเฉพาะจุดนั้นๆ
5. I/P Converter หรือ Current-to-Pressure โดย Current หมายถึงสัญญาณไฟฟ้า ส่วน Pressure ในที่นี้เป็นทั้งระบบ Pneumatic และระบบ Hydraulic ดังนั้น I/P Converter จึงมีหน้าที่แปลงสัญญาณด้านทางเข้าในรูปของกระแสไฟฟ้า เช่น 4-20 mA (DC) ให้เป็นค่าสัญญาณความดันอากาศหรือความดันไฮโดรลิกด้านทางออก เช่น 3 – 15 psig ด้วยความสัมพันธ์เชิงเส้นตรงนั้นคือสัญญาณเข้ามา 4 mA ตัว I/P Converter จะส่งสัญญาณทางออกเป็น 3 psig และเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนคงที่จนถึงสัญญาณเข้ามา 20 mA ตัว I/P Converter จะส่งสัญญาณทางออกเป็น 15 psig นั้นเอง ตัว I/P Converter จึงถูกใช้ในระบบควบคุมที่ข้ามสายพันธ์กันนั้นเอง เช่น Electro-Pneumatic Positioner
6. Solenoid Valve ถูกใช้เพื่อยกเลิกสัญญาณที่ส่งมาหรืออาจถูกใช้เพื่อระบายอากาศออกจาก Actuator หรืออัดอากาศเข้า Actuator ให้เต็มทีโดยไม่คำนึงถึงสัญญาณควบคุมใดๆ เป็นต้น
7. Air Regulators ช่วยควบคุมและรักษาระดับความดันอากาศจากแหล่งกำเนิดพลังงานภายนอกระบบที่ส่งมายัง Actuator หรืออุปกรณ์เสริมต่างๆ ไม่ให้เกิดความเสียหายเนื่องจากความดันอากาศที่ถูกส่งมามีค่าสูงเกินกว่าค่าความดันทำงานของอุปกรณ์ดังกล่าว
8. Volume Boosters ถูกใช้เพื่อเร่งการเพิ่มปริมาตรอากาศจากแหล่งกำเนิดภายนอกระบบเข้าสู่ Actuator ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ Positioner หรือตัวควบคุม (Controller) อาจส่งสัญญาณให้อากาศผ่านเข้ามาใน Actuator ไม่เพียงพอต่อการเคลื่อนที่ก้าน Actuator ให้ได้ภายในระยะเวลาที่ต้องการ เช่น ตัว Pneumatic Actuator ตัวใหญ่ จึงต้องเร่งการส่งความดันอากาศให้เร็วและมากขึ้น เพื่อให้กระบวนการหรือระบบฯนั้นๆทำงานได้ผลตามที่ออกแบบไว้